แนวข้อสอบนายช่างไฟฟ้าสื่อสาร กรมส่งเสริมการเกษตร ปี 2567-2568
แนวข้อสอบ
ความรู้เหตุการณ์ปัจจุบัน-การเมือง-เศรษฐกิจและสังคม ชุดที่ 2
คำชี้แจง จงเลือกคำตอบข้อที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
1. “สามเหลี่ยมมรกต” หมายถึง พื้นที่รอยระหว่าง 3 ประเทศ คือข้อใด
ก. ไทย-พม่า-ลาว ข. ไทย-ลาว-กัมพูชา
ค. ไทย-พม่า-กัมพูชา ง. ไทย-พม่า-จีน
ตอบ ข. ไทย-ลาว-กัมพูชา
2. การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต ข้อใดมีความหมายสอดคล้องกับ
“ความพอเพียง”
ก. มีความซื่อสัตย์สุจริต ข. ใฝ่ศึกษาหาความรู้
ค. รู้จักประหยัดไม่ฟุ่มเฟือย ง. ฝึกการพึ่งตนเอง
ตอบ ค. รู้จักประหยัดไม่ฟุ่มเฟือย
3. ข้อใดคือหลักสำคัญที่สุดของ “เศรษฐกิจพอเพียง”
ก. รู้จักพอประมาณ ข. มีเหตุผล
ค. มีคุณธรรม ง. มีความรู้
ตอบ ก. รู้จักพอประมาณ
4. หลักปฏิบัติเกี่ยวกับ “ทางสายกลาง” ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคือข้อใด
ก. เลือกทางปฏิบัติทางความพอเพียง
ข. เลือกทางปฏิบัติทางความมั่นคง ยั่งยืน
ค. เลือกทางปฏิบัติซึ่งเป็นประโยชน์มากกว่ามีส่วนน้อยที่สุด
ง. เลือกทางปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมายมากที่สุด
ตอบ ค. เลือกทางปฏิบัติซึ่งเป็นประโยชน์มากกว่ามีส่วนน้อยที่สุด
5. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 เป็นแผนยุทธศาสตร์ระยะใด
ก. แผนระยะสั้น ข. แผนระยะปานกลาง
ค. แผนระยะยาว ง. แผนระยะยาวมาก
ตอบ ข. แผนระยะปานกลาง
6. แนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในแผนพัฒนาฯ นำไปใช้พัฒนาในระดับใด จึงจะประสบความสำเร็จ
มากที่สุด
ก. ระดับครอบครัว ข. ระดับชุมชน
ค. ระดับประเทศ ง. ทุกระดับการพัฒนา
ตอบ ง. ทุกระดับการพัฒนา
7. แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ยุทธศาสตร์ของแผนเพื่อมุ่งสู่...
ก. ความมุ่งคง ข. ความยั่งยืน
ค. ความมั่นคง ง. ทุกข้อที่กล่าว
ตอบ ง. ทุกข้อที่กล่าว
8. ปัจจุบันยังไม่มีการมอบรางวัลโนเบลให้กับสาขาใด
ก. วรรณกรรม ข. เศรษฐศาสตร์
ค. การแพทย์ ง. การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ตอบ ง. การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
9. “ศักดินา” ในอดีต หมายถึง
ก. สิทธิในการครอบครองที่ดิน
ข. การได้รับบรรดาศักดิ์ของขุนนาง
ค. การกำหนดสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบตามสถานภาพในสังคม
ง. การควบคุมกำลังพลของมูลนาย
ตอบ ค. การกำหนดสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบตามสถานภาพในสังคม
10. สิ่งที่นิยมใช้ในการวัดภาวะเงินเฟ้อ คือข้อใด
ก. ดัชนีราคาผู้บริโภค
ข. ปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
ค. อัตราการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ
ง. อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและดุลการชำระเงิน
ตอบ ก. ดัชนีราคาผู้บริโภค
งานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น
ข้อที่ 1 การช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางไฟฟ้า (คะแนน 1)
การช่วยชีวิตผู้ถูกไฟฟ้าดูดที่หยุดหายใจ สามารถทำได้หลายวิธี เช่นวิธีการผายปอดด้วยวิธีปากต่อปาก (Mouth-to-Mouth Method) หรือวิธีนวดหัวใจ ซึ่งมี 2 วิธี เป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพมากและได้ผลดีที่สุด ในการที่ช่วยให้ผู้ที่หยุดหายใจสามารถกลบมาหายใจด้วยตัวเองได้ใหม่ ซึ่งวิธีการปฏิบัติทำได้โดยไม่ยุ่งยาก และทำได้รวดเร็ว
ข้อที่ 2 การป้องกันเหตุจากอุบัติภัยทางไฟฟ้า (คะแนน 1)
ข้อควรปฏิบัติในการทำงานเพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดจากอุปกรณ์ไฟฟ้า – อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อจะเกิดความปลอดภัยในการทำงานมีดังต่อไปนี้
1. ไม่ควรทำการตรวจซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ ขณะที่ยังมีแหล่งจ่ายไฟฟ้าต่ออยู่
2. เมื่อทำการแก้ไขจุดเสียภายในไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ
3. เมื่อทำการตรวจซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ ใดๆ ขณะที่ยังเปิดใช้งานอยู่ ผู้ทำ การตรวจซ่อมจะต้องป้องกันตนเอง โดยไม่ยืนพื้นที่ชื้นแฉะ หรือพิงกับวัตถุที่เป็นโลหะใดๆ และอาจป้องกันได้โดยการสวมรองเท้ายาง หรือยืนบนเสื่อที่ทำจากพลาสติก หรือพรมเช็ดเท้า เป็นต้น
4.ต้องปิดสวิตซ์อุปกรณ์ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์และถอดปลั๊กออกทุกครั้งก่อนที่จะทำ การเปลี่ยนแปลงชิ้นส่วนใดๆ ทั้งนี้เนื่องจากอุปกรณ์บางอย่างถึงแม้จะปิดสวิตซ์ไปแล้วก็ยังมีแรงดันไฟฟ้าตกค้างอยู่ ส่วนอุปกรณ์ที่ทำให้เกิดความร้อน เช่นตัวต้านทานบางชนิด จะต้องทิ้งไว้ชั่วขณะหนึ่ง กลังจากปิดสวิตซ์แล้ว เพื่อให้เย็นตัวลง
5.ไม่ควรใส่กำไล แหวน หรือนาฬิกา ขณะทำการตรวจซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ ทั้งนี้เนื่องจากสิ่งของเหล่านี้มีค่าความต้านทานต่ำและเป็นสื่อนำกระแสไฟฟ้าได้ดี
6. ก่อนทำการตรวจซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ จะต้องตรวจสภาพทั่วไปว่าอุปกรณ์ว่าอุปกรณ์เหล่านั้นมีการสึก มีรอยร้าว มีการไหม้ของสาย หรือมีการแตกของงปลั๊กหรือไม่ ถ้าตรวจพบให้ปิดสวิตซ์ จากนั้นให้เปลี่ยนอุปกรณ์เหล่านั้นให้อยู่ในสภาพดีก่อน
7. ขณะทำการตรวจซ่อมต้องแน่ใจว่ามีบุคคลอื่นอยู่ในบริเวณใกล้เคียงด้วย ทั้งนี้เพื่อคอยช่วยเหลือได้ทันทีในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
8. ต้องตรวจสอบดูว่าสวิตซ์ปิดเปิดของอุปกรณ์อยู่ที่ตำแหน่งใดก่อนทำการตรวจซ่อมเสมอ ทั้งนี้เพื่อที่จะสามารถปิดเปิดสวิตซ์ได้ทันทีในกรณีเหตุการณ์ฉุกเฉิน
ข้อที่ 3 การต่อใช้งานเครื่องมือวัด (คะแนน 1)
การปฏิบัติเมื่อใช้มัลติมิเตอร์วัดค่ากระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า มีดังนี้
1. ปรับสวิตซ์เลือกการทำงานของมัลติมิเตอร์มาเป็นการวัดกระแสไฟฟ้าก่อนโดยเลือกย่านการวัดค่าเป็นการวัดกระแสตรง (IDC) หรือเป็นการวัดกระแสไฟสลับ (IAC) ให้ถูกต้องกับวงจรไฟฟ้าที่ต้องการจะวัด
2. การวัดกระแสไฟฟ้าในวงจรจะต้องต่อเครื่องวัดในเส้นทางที่มีกระแสไฟฟ้าไหล นั่นคือ จะต้องทำการเปิดวงจรก่อน จากนั้นจึงนำเครื่องวัดไปต่ออนุกรมเข้ากับวงจร และสำหรับการต่อขั้วของเครื่องวัดนั้นถ้าเป็นการวัดกระแสไฟตรง (IDC) จะต้องต่อขั้วให้ถูกต้องโดยขั้วสายสีแดง (+) ของเครื่องวัดจะต้องต่อเข้ากับขั้วบวกของวงจร ส่วนขั้วสายสีดำ (-) ของเครื่องวัดจะต้องต่อเข้ากับขั้วลบของวงจร แต่ถ้าเป็นการวัดกระแสไฟสลับ (IAC) ไม่ต้องคำนึงถึงขั้วของเครื่องวัด
3. ตั้งย่านการวัดให้สูงสุดก่อนเสมอ จากนั้นค่อยลดลงมาตามค่ากระแสที่ทำการวัดได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสียหายไม่ให้เกิดขึ้นกับเครื่องวัด โดยย่านการวัดที่เลือกนั้นจะต้องทำให้เข็มของเครื่องวัดอยู่ตรงกึ่งกลาง เพื่อให้การอ่านค่าง่ายยิ่งขึ้น
4. ค่าความคลาดเคลื่อนของเครื่องวัดแบบเข็ม ส่วนใหญ่จะประมาณ ±3% ของค่าที่อ่านได้เต็มสเกล ดังนั้นการอ่านค่ากระแสไฟฟ้าควรที่จะอ่านให้ได้ใกล้เคียงกับเต็มสเกลให้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น ถ้ากระแสไฟฟ้าค่า 7 มิลลิแอมแปร์ วัดได้จากสกล 10 มิลลิแอมแปร์ ค่าความคลาดเคลื่อนสูงสุดเท่ากับ ±3% มิลลิแอมแปร์ ดังนั้นค่าที่วัดได้จะมีค่าตั้งแต่ 6.7 – 7.3 มิลลิแอมแปร์
5. โดยปกติแล้วเครื่องวัดแบบเข็มจะมีกระจกติดตั้งอยู่ที่สเกลบริเวณด้านหลังเข็มของเครื่องวัด ซึ่งจะช่วย
สะท้อนเงาของเข็มให้ปรากฏบนกระจก ดังนั้นเมื่อทำการอ่านค่าจะต้องมองในลักษณะตั้งตรง เพื่อให้เข็มของเครื่องวัดและเงาในกระจกทับกันพอดีจึงจะได้ค่าของกาวัดที่ถูกต้อง การปฏิบัติเมื่อใช้มัลติมิเตอร์วัดค่าแรงดันไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า มีดังนี้
1. ปรับสวิตซ์เลือกย่านการทำงานของมัลติมิเตอร์มาเป็นการวัดค่าแรงดันไฟฟ้าก่อนโดยเลือกย่านการวัดค่าเป็นการวัดแรงดันไฟตรง (VDC) หรือเป็นการวัดแรงดันไฟสลับ (VAC) ให้ถูกต้องกับวงจรไฟฟ้าที่ต้องการจะวัด
2. การวัดแรงดันไฟฟ้าในวงจรจะต้องต่อเครื่องวัดขนานกับตัวอุปกรณ์ที่ต้องการวัด และสำหรับการต่อขั้วของเครื่องวัดนั้นถ้าเป็นการวัดแรงดันไฟตรง (VDC) จะต้องต่อขั้วให้ถูกต้องโดยขั้วสายสีแดง (+) ของเครื่องวัดจะต้องต่อเข้ากับขั้วบวกของวงจร ส่วนขั้วสายสีดำ (-) ของเครื่องวัดจะต้องต่อเข้ากับขั้วลบของวงจร แต่ถ้าเป็นการวัดแรงดันไฟสลับ (VAC) ไม่ต้องคำนึงถึงขั้วของเครื่องวัด
3. ตั้งย่านการวัดให้สูงสุดก่อนเสมอ จากนั้นค่อยลดลงมาตามค่าแรงดันที่ทำการวัดได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสียหายไม่ให้เกิดขึ้นกับเครื่องวัด โดยย่านการวัดที่เลือกนั้นจะต้องทำให้เข็มของเครื่องวัดอยู่ตรงกึ่งกลาง เพื่อให้การอ่านค่าง่ายยิ่งขึ้น
4. ค่าความคลาดเคลื่อนของแรงดันไฟฟ้าของเครื่องวัดแบบเข็ม จะมีค่าประมาณ ±3% ดังนั้นถ้าแรงดันไฟฟ้าขนาด 7 โวลต์ ค่าที่อ่านได้จะมีค่าประมาณ 6.7 – 7.3 โวลต์
5. การอ่านค่าแรงดันไฟฟ้าจากเครื่องวัดจะต้องมองในลักษณะตั้งตรงกับเข็มของเครื่องวัด ทั้งนี้เพื่อให้เข็มของเครื่องวัด และเงาในกระจกทับกันพอดีจึงจะได้ที่ถูกต้อง
การปฏิบัติเมื่อใช้มัลติมิเตอร์วัดค่าความต้านทานในวงจรไฟฟ้า มีดังนี้
1. ตั้งสวิตซ์การทำงานของมัลติมิเตอร์มาเป็นการวัดค่าความต้านทานจากนั้นตั้งย่านการวัดให้เหมาะสมกับความต้านทานที่ต้องการจะวัด
2. นำปลายวัดทั้งสองมาแตะกัน จากนั้นให้ปรับที่ปุ่ม Zero – Ohms Adjust เพื่อให้เข็มของเครื่องวัดที่ชี้ตำแหน่ง 0 Ω การทำเช่นนี้เพื่อตรวจสอบว่าเครื่องวัดยังทำงานได้ถูกต้อง
3. ต้องแน่ใจว่าไม่มีแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าต่อเข้ากับอุปกรณ์ที่ต้องการวัด ทั้งนี้เนื่องจากแรงดันไฟฟ้าที่มีอยู่ในวงจรเมื่อรวมกับแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่ภายใน จะทำให้มีกระแสไฟฟ้าไหลในวงจรมากเกินไป ซึ่งจะทำความเสียหายให้กับเครื่องวัดได้
4. ต่อสายวัดคร่อมกับอุปกรณ์ที่ต้องการวัด อ่านค่าที่วัดได้จากสเกล จากนั้นนำค่าที่อ่านได้คูณเข้ากับย่านการวัดค่าที่ตั้งไว้ คือ R 1,
10 ,
100 ,
1000 หรือมากกว่า
5. เมื่อทำการวัดค่าความต้านทานของอุปกรณ์ใดๆ ขณะที่อุปกรณ์นั้นยังต่ออยู่ในวงจรค่าที่วัดได้อาจผิดพลาดทั้งนี้เนื่องจากผลของตัวต้านทานอื่นที่อาจต่อขนานกับอุปกรณ์ที่ต้องการวัดนี้ การแก้ไขทำได้โดยให้ปลดปลายด้านหนึ่งของอุปกรณ์ที่ต้องการวัดออก จากนั้นจึงค่อยทำการวัด
ข้อที่ 4 การอ่านค่าเครื่องมือวัด (คะแนน 1)
การวัดแรงดันไฟสลับ
เอซีโวลต์มิเตอร์ คือมิเตอร์วัดแรงดันไฟสลับ (AC VOLTAGE) หลักการใช้มิเตอร์ชนิดนี้ จะเหมือนกับดีซีโวลต์มิเตอร์ คือในการใช้งานจะต้องนำไปวัดคร่อมขนานกับโหลดที่ต้องการวัดแรงดันนั้น จะมีส่วนที่แตกต่างจากดีซีโวลต์มิเตอร์ คือในการใช้มิเตอร์วัดคร่อมแรงดันหรือแหล่งจ่ายไฟไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงขั้วมิเตอร์ เพราะแรงดันไฟสลับจะมีขั้วสลับไปสลับมาตลอดเวลา
เอซีโวลต์มิเตอร์ มีทั้งหมด 5 ย่าน คือ 0~2.5V, 0~10V, 0~50V, 0~250V และ0~1,000V
มี 4 สเกล คือ 0~2.5,0~10, 0~50, 0~250 อ่านขีดสเกลที่อยู่ใต้กระจกเงา
ลำดับขั้นการใช้เอซีโวลต์มิเตอร์
1. ต่อเอซีโวลต์ในขณะวัดค่าแรงดันคร่อมขนานกับโหลด
2. ตั้งย่านใช้งานของมิเตอร์ในย่าน ACV
3. ปรับสวิตช์ตั้งย่านการวัดให้ถูกต้อง หากไม่ทราบค่าที่จะวัดว่าเท่าไร ให้ตั้งย่านวัดที่
ตำแหน่งสูงสุด (1,000V) ไว้ก่อน แล้วจึงปรับลดย่านให้ต่ำลงทีละย่าน จนกว่าเข็มมิเตอร์จะชี้ค่าที่อ่านได้ง่ายและถูกต้อง
4. ก่อนต่อมิเตอร์วัดแรงดันไฟสูงๆ ควรจะปิดสวิตช์ไฟ (OFF) ของวงจรที่จะวัดเสียก่อน
5. อย่าจับสายวัดหรือมิเตอร์ขณะวัดแรงดันไฟสูง เมื่อวัดเสร็จเรียบร้อยควรปิด (OFF) สวิตช์ไฟ ของวงจร ที่ทำการวัดเสียก่อนจึงปลดสายวัดของมิเตอร์ออกจากวงจร
การอ่านสเกลของเอซีโวลต์มิเตอร์
การวัดแรงดันไฟตรง
ดีซีโวลต์มิเตอร์ คือ มิเตอร์วัดแรงดันไฟตรง (DC VOLTAGE) ในการใช้ดีซีโวลต์วัดแรงดันไฟตรง จะต้องต่อดีซีโวลต์มิเตอร์วัดคร่อมขนานกับโหลดที่ต้องการวัดแรงดัน ขั้วของดีซีโวลต์มิเตอร์ที่จะต่อวัดคร่อมโหลด ต้องมีขั้วเหมือนแรงดันที่ตกคร่อมโหลด โดยใช้หลักการวัดดังนี้ ใกล้บวกใส่บวก ใกล้ลบใส่ลบ คือโหลดขาใดรับแรงดันใกล้ขั้วบวก (+) ของแหล่งจ่าย ก็ใช้ขั้วบวก (+) ของดีซีโวลต์มิเตอร์วัด โหลดขาใดรับแรงดันใกล้ขั้วลบ (-) ของแหล่งจ่าย ก็ใช้ขั้วลบ (-) ของดีซีโวลต์มิเตอร์วัด ดีซีโวลต์มิเตอร์ มีทั้งหมด 7 ย่าน คือ 0.1 V, 0.5V, 2.5V, 10V, 50V, 250V และ 1,000V มี 3 สเกล คือ 0~10, 0~50, 0~250 อ่านขีดสเกลที่อยู่ใต้กระจกเงา
ลำดับขั้นการใช้ดีซีโวลต์มิเตอร์
1. ต่อดีซีโวลต์ในขณะวัดค่าแรงดันคร่อมขนานกับโหลด
2. ตั้งย่านใช้งานของมิเตอร์ในย่าน DCV
3. ปรับสวิตช์ตั้งย่านการวัดให้ถูกต้อง ถ้าหากไม่ทราบแรงดันไฟที่จะทำการวัด ให้ตั้งย่าน
วัดที่ตำแหน่งสูงสุด (1,000V) ไว้ก่อน แล้วปรับลดย่านให้ต่ำลงทีละย่านจนกว่าเข็มมิเตอร์จะชี้ค่าที่อ่านได้ง่ายและถูกต้อง
4. ในตำแหน่งที่วัดด้วยดีซีโวลต์มิเตอร์ไม่ขึ้น แต่ขณะแตะสายวัดขั้วบวกเข้าไปหรือขณะดึงสายวัดขั้วบวกออกมา เข็มมิเตอร์จะกระดิกเล็กน้อยเสมอแสดงว่าจุดวัดนั้นเป็นแรงดันไฟสลับ (ACV)
5. การวัดแรงดันไฟตรงในวงจร จะต้องต่อสายวัดให้ถูกต้อง โดยนำสายวัดขั้วลบ (-COM) สีดำจับที่ขั้วลบของแหล่งจ่าย นำสายวัดขั้วบวก (+) สีแดงของมิเตอร์ไปวัดแรงดันตามจุดต่างๆ
การอ่านสเกลของดีซีโวลต์มิเตอร์
การวัดกระแสไฟตรง
ดีซีแอมมิเตอร์ หรือดีซีมิลลิแอมมิเตอร์ คือมิเตอร์วัดกระแสไฟตรง (DC CURRENT) เพื่อจะทราบจำนวนกระแสที่ไหลผ่านวงจรว่ามีค่าเท่าไร การใช้ดีซีแอมมิเตอร์ หรือดีซีมิลลิแอมมิเตอร์ วัดกระแสไฟตรงในวงจร จะต้องตัดไฟแหล่งจ่ายออกจากวงจร และนำดีซีแอมมิเตอร์ หรือดีซีมิลลิแอมมิเตอร์ ต่ออันดับกับวงจร และแหล่งจ่ายไฟ ขั้วของดีซีแอมมิเตอร์ จะต้องต่อให้ถูกต้องมิเช่นนั้นเข็มมิเตอร์จะตีกลับ อาจทำให้มิเตอร์เสียได้ เอซีโวลต์มิเตอร์ มีทั้งหมด 4 ย่าน คือ 50uA, 2.5mA, 25mA และ 0.25 mA มี 3 สเกล แต่นำมาใช้กับการวัดกระแสจะใช้ 2 สเกล คือ 0~50, 0~250 อ่านขีดสเกลที่อยู่ใต้กระจกเงา
ลำดับขั้นการใช้ดีซีมิลลิแอมป์มิเตอร์
1. การต่อดีซีมิลลิแอมมิเตอร์วัดกระแสในวงจร จะต้องต่ออันดับกับโหลดในวงจร
2. ตั้งย่านใช้งานของมิเตอร์ในย่าน DCmA
3. ปรับสวิตช์ตั้งย่านการวัดให้ถูกต้อง ถ้าหากไม่ทราบกระแสที่จะทำการวัด ให้ตั้งย่านวัดที่ตำแหน่งสูงสุด (0.25A) ไว้ก่อน แล้วปรับลดย่านให้ต่ำลงทีละย่านจนกว่าเข็มมิเตอร์จะชี้ค่าที่อ่านได้ง่ายและถูกต้อง
4. ก่อนต่อมิเตอร์วัดกระแสไฟสูงๆ ควรจะปิด (OFF) สวิตช์ไฟของวงจรที่จะวัดเสียก่อน
5. เมื่อวัดเสร็จเรียบร้อยควรปิด (OFF) สวิตช์ไฟ ของวงจร ที่ทำการวัดเสียก่อนจึงปลดสายวัดของมิเตอร์ออกจากวงจร
การอ่านสเกลของดีซีมิลลิแอมป์มิเตอร์
การวัดความต้านทาน
โอห์มมิเตอร์ คือ มิเตอร์ที่สร้างขึ้นมาไว้วัดค่าความต้านทาน ของตัวต้านทาน (R) โดยอ่านค่าออกมาเป็นค่าโอห์ม โดยมีย่านการวัดทั้งหมด 5 ย่าน คือ x1, x10, x100, x1k และ x10k อ่านค่าความต้านทานได้ตั้งแต่ 2 กิโลโอห์ม ถึง 20 เมกกะโอห์ม
ลำดับขั้นตอนการใช้โอห์มมิเตอร์
1. ตั้งย่านใช้งานของมิเตอร์ที่ย่านโอห์ม
2. ใช้สายวัดสีแดงเสียบเข้าที่ขั้วต่อขั้วบวก (+) และสายวัดสีดำเสียบเข้าที่ขั้วต่อขั้วลบ (-COM)
3. ปรับซีเล็กเตอร์สวิตช์ตั้งย่านวัดให้ถูกต้อง
4. ก่อนการนำโอห์มมิเตอร์ไปใช้วัดทุกครั้ง และทุกย่าน จะต้องทำการปรับ 0 โอห์มเสมอ
5. ถ้าจะนำโอห์มมิเตอร์ไปวัดค่าความต้านทานในวงจรต้องแน่ใจว่าปิด (OFF) สวิตช์ไฟ ทุกครั้ง
การอ่านสเกลของโอห์มมิเตอร์
ข้อที่ 5 การเลือกใช้เครื่องมือวัด (คะแนน 1)
การเลือกใช้เครื่องวัดชนิดใดสามารถทำได้โดยการเลือกจากสวิตซ์ควบคุม สำหรับ มัลติมิเตอร์นั้นประกอบด้วยเครื่องวัด ดังต่อไปนี้
1. แอมมิเตอร์ (Ammeter) ใช้สำหรับวัดค่ากระแสไฟฟ้า
2. โวลต์มิเตอร์ (Voltmeter) ใช้สำหรับวัดค่าแรงดันไฟฟ้า
3. โอห์มมิเตอร์ (Ohmmeter) ใช้สำหรับวัดค่าความต้านทาน
ข้อที่ 6 ข้อควรระวังการใช้เครื่องวัดไฟฟ้า (คะแนน 1)
1. อย่าให้มัลติมิเตอร์มีการกระทบกระเทือนอย่างแรง เช่น ตก หล่นจากที่สูง เพราะจะทำให้เครื่องมือวัดชำรุดเสียหาย
2. ควรวางมัลติมิเตอร์ในตำแหน่งราบ (แนวนอน) ขณะใช้งานและเลิกใช้งาน
3. ก่อนทำการวัดทุกครั้งต้องแน่ใจว่าเลือกย่านการวัดถูกต้องเสมอ
4. ตั้งค่าสเกลสูงสุดของย่านการวัดขณะวัดจุดที่ไม่ทราบค่าแน่นอน
5. ห้ามใช้ย่านวัดโอห์มวัดค่าแรงดันไฟตรงหรือแรงดันไฟสลับ
6. เมื่อวัดแรงดันไฟตรงต้องใช้สายวัดให้ถูกขั้ว +- เสมอ
7. เมื่อเลือกย่านวัดโอห์มไม่ควรให้ปลายสายวัดแตะกันนานเกินไป
8. เมื่อเลิกใช้งานควรถอดสายวัดออกและปรับสวิตช์เลือกย่านไปที่ OFF
9. ไม่ควรให้มัลติมิเตอร์เกิด Overload (เกินสเกล) บ่อยครั้งขณะทำการวัดต้องดูตำแหน่งของย่านวัดการวัดให้เหมาะสมกับวงจรที่จะวัด
10. มัลติมิเตอร์ที่ไม่ได้ใช้เป็นเวลานาน ก่อนใช้ควรหมุน Function และ Range switch ไปมาเพื่อลดความฝืดและให้หน้าสัมผัสไฟฟ้าที่ดี
11. ควรจัดเก็บมัลติมิเตอร์ให้อยู่ในเครื่องห่อหุ้ม (Case) เสมอ
ข้อที่ 7 เครื่องกำเนิดสัญญาณไฟฟ้า (คะแนน 1)
หลังการการสร้างวงจรอิเล็กทรอนิกส์ใด ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว อาจมีความจำเป็นต้องป้อนสัญญาณที่มีรูปแบบและความถี่ที่แน่นอนเข้าไปในวงจร ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการทดสอบการทำงานของวงจรที่สร้างขึ้น สำหรับเครื่องกำเนิดสัญญาณที่สามารถนำไปใช้งานได้หลายหน้าที่ และนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย มีชื่อเรียกว่า Function Generator ซึ่งเครื่องกำเนิดสัญญาณนี้จะให้รูปสัญญาณออกมาได้หลายแบบ เช่น รูปคลื่นไซน์ รูปสี่เหลี่ยม รูปสามเหลี่ยม หรือแบบฟันเลื่อย เป็นต้น ดังรูป
ข้อที่ 8 การต่อเซลล์ไฟฟ้า (คะแนน 1)
โดยทั่วไปแล้วแบตเตอรี่จะประกอบด้วยเซลล์หลายเซลล์ที่มีการเชื่อมต่อกันทางไฟฟ้าอยู่ภายใน ซึ่งวิธีการต่อของแต่ละเซลล์และชนิดของวัสดุที่นำมาใช้เป็นเซลล์ จะเป็นปัจจัยที่กำหนดขนาดของแรงดันไฟฟ้าและความจุไฟของแบตเตอรี่ โดยการต่อถ้าให้ขั้วบวกของเซลล์หนึ่งต่อกับขัวลบของเซลล์ถัดไป และต่อกันเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆจะทำให้แรงดันไฟฟ้าที่ได้เท่ากับผลรวมของแรงดันไฟฟ้าแต่ละเซลล์รวมกัน เรียกการต่อแบบนี้ว่า การต่ออนุกรมหรือการต่อแบบอันดับ (series connection) ดังรูป
ข้อที่ 9 ประเภทของแหล่งกำเนิดไฟฟ้า (คะแนน 1)
แหล่งกำเนิดไฟฟ้าหรือแหล่งจ่ายไฟฟ้า หมายถึง แหล่งที่ให้พลังงานศักย์ไฟฟ้า หรืออาจเรียกว่าแรงเคลื่อนไฟฟ้า (Electromotive force, emf) ออกมาใช้งานกับอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไป หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นแรงดันไฟฟ้านั่นเอง
แหล่งกำเนิดไฟฟ้าหรือแหล่งจ่ายไฟฟ้า ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ 4 ชนิดใหญ่ๆดังนี้
1. แบตเตอรี่ (battery) 2. เซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Cells)
3. เจนเนอเรเตอร์ (Generator) 4. แหล่งจ่ายไฟฟ้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic)
ข้อที่ 10 การหาค่าความต้านทาน (คะแนน 1)
การต่อตัวต้านทานแบบอันดับ (หรืออนุกรม) ค่าความต้านทานรวมที่เกิดจากการนำตัวต้านทานมา
ข้อที่ 10 การหาค่าความต้นทาน (คะแนน 1)
การต่อตัวต้านทานแบบอันดับ (หรืออนุกรม) ค่าความต้านทานรวมที่เกิดจากการนำตัวต้านทานมาต่อกันแบบอันดับจะมีค่าเท่ากับ ผลรวมของค่าความต้านทานของตัวต้านทานทุกตัวรวมกัน สูตรที่ในในการคำนวณหาค่าความต้านทานที่ต่อกันแบบอันดับ
โดยที่ RT = ค่าความต้านทานรวม
R1, R2, R3 = ค่าความต้านทานตัวที่ 1, 2, 3 ตามลำดับ
ตัวอย่างที่ 1 จากวงจรในรูป จงคำนวณหาค่าความต้านทานรวม
วิธีทำ RT = R1 + R2 +R3 + R4
= 25 + 20 + 33 + 10
คำตอบ = 88 Ω
การต่อตัวต้านทานแบบขนาน
ค่าความต้านทานรวมที่เกิดจากการนำตัวต้านทานมาต่อขนานกันจะมีคาเท่ากับ ผลรวมของสวนกลับของค่าความต้านทานทุกตัวรวมกัน
สูตรที่ในในการคำนวณหาค่าความต้านทานที่ต่อกันแบบขนาน
โดยที่ RT = ค่าความต้านทานรวม
R1, R2, R3 = ค่าความต้านทานตัวที่ 1, 2, 3 ตามลำดับ
ตัวอย่างที่ 2 จากวงจรในรูป จงคำนวณหาค่าความต้านทานรวม
วิธีทำ RT =
=
คำตอบ = 11.9 Ω